Retention กับ Refinance ต่างกันอย่างไร

Retention กับ Refinance ต่างกันอย่างไร

เมื่อผ่อนบ้านมาได้สักระยะหนึ่งแล้วหลายคนก็เริ่มที่จะหาทางทำให้ดอกเบี้ยนั้นลดลง ซึ่งวิธีการที่เราคุ้นเคยกันนั้นคือการ Refinanceแต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก คือการ Retention แล้วทั้ง 2 วิธีนี้แตกต่างกันอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ

Retention

คือ การติดต่อขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม

สถาบันการเงิน : ธนาคารหรือสถาบันการเงินเดิม

การเตรียมเอกสาร : ไม่ต้องยุ่งยากในการเตรียมเอกสาร เนื่องจากธนาคารสามารถใช้เอกสารเดิมหลายฉบับที่ผู้กู้ใช้ยื่นขอสินเชื่อ

ระยะเวลาอนุมัติ : พิจารณาอนุมัติเร็ว

ค่าใช้จ่าย : มีค่าธรรมเนียมประมาณ 1-2% ของยอดวงเงินกู้เดิม หรือวงเงินที่เหลือแล้วแต่กำหนด

อัตราดอกเบี้ย : เป็นไปตามธนาคารเดิมกำหนด

Refinance

คือ นำที่อยู่อาศัยที่ผู้กู้ผ่อนชำระอยู่มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อขอสินเชื่อใหม่มาปิดหนี้ยอดเงินกู้เดิมที่ยังเหลืออยู่ทำให้หนี้ของเรากับเจ้าหนี้ ซึ่งก็คือ ธนาคารหรือสถาบันการเงินเดิมนั้นสิ้นสุดลงพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของหนี้ใหม่กับธนาคารหรือสถาบันการเงินใหม่

สถาบันการเงิน : ธนาคารหรือสถาบันการเงินใหม่

การเตรียมเอกสาร : ต้องเตรียมเอกสารใหม่ทั้งหมด

ระยะเวลาอนุมัติ : ใช้ระยะเวลาอนุมัติเท่ากับการขอกู้ใหม่

ค่าใช้จ่าย : ค่าธรรมเนียมมากกว่า (มีค่าธรรมเนียมการจัดการสินเชื่อตามสัญญาใหม่ 0-3% ค่าธรรมเนียมในการจำนอง 1% ค่าประเมินราคาหลักประกัน 0.25-2% ค่าประกันอัคคีภัยประมาณ 2,000 บาทต่อมูลค่าบ้าน 1 ล้านบาท และค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้)

อัตราดอกเบี้ย : เลือกธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าได้

สรุปแล้วก็คือ Retention มีความสะดวกในการขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มากกว่า ส่วนการ Refinance จะมีโอกาสในการเลือกอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้หลากหลายกว่า โดยผู้กู้ควรเลือกอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในเงื่อนไขที่ดีที่สุด และอาจขอคำปรึกษากับธนาคารที่กู้อยู่เดิมก่อน เพื่อขอเปรียบเทียบดอกเบี้ยของ Retention ก่อนที่จะดำเนินการ Refinance ก็ได้ สุดท้ายแล้วผู้ยื่นกู้ควรจะศึกษาเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารให้ดี เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะเป็นวิธีที่ คุ้มค่าที่สุดและเลือกธนาคารที่เหมาะสมที่สุด